(Photo : About time)
บทความนี้เขียนจากอารมณ์ขณะดูภาพยนต์จบเป็นรอบที่นับไม่ถ้วน
และผ่านเหตุการณ์ชีวิตต่างๆมากขึ้นนับจากครั้งแรกที่เคยได้ดู
แน่นอนว่าอีก20ปีจากนี้ ก็ต้องมีมุมมองที่เพิ่มเติมต่อไป
และผ่านเหตุการณ์ชีวิตต่างๆมากขึ้นนับจากครั้งแรกที่เคยได้ดู
แน่นอนว่าอีก20ปีจากนี้ ก็ต้องมีมุมมองที่เพิ่มเติมต่อไป
ภาพยนต์เรื่องนี้เป็น1ในไม่กี่เรื่องที่เราหยิบมาดูซ้ำ
ซ้ำหลายรอบมากๆ ทั้งตัวบท คนคัดนักแสดง
สีแต่ละฉาก เสื้อผ้า มุมกล้อง องค์ประกอบทุกอย่าง
และเหตุผลหลักๆเลยคือ...
"พ่อพระเอก"
ทั้งตัวนักแสดง บทพูด การยิ้ม การพูด การออกท่าออกทาง
ทุกๆอย่างที่เป็น มันลงตัวไปหมด
ซ้ำหลายรอบมากๆ ทั้งตัวบท คนคัดนักแสดง
สีแต่ละฉาก เสื้อผ้า มุมกล้อง องค์ประกอบทุกอย่าง
และเหตุผลหลักๆเลยคือ...
"พ่อพระเอก"
ทั้งตัวนักแสดง บทพูด การยิ้ม การพูด การออกท่าออกทาง
ทุกๆอย่างที่เป็น มันลงตัวไปหมด
เราชอบ ชอบไม่พอต้องเรียกว่า เค้าคือต้นแบบชีวิต
ต้นแบบแนวความคิด ต้นแบบหลักการชีวิต
ที่เราได้ดูในครั้งแรกและนึกกับตัวเองมาตลอด
ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะเป็น
เราใช้คำว่าอยากจะเป็น เพราะเราไม่ได้เกิดมาเป็น
เราต้องขัดเกลาและเรียนรู้อีกมาก
ถึงจะพัฒนาตัวเองไปได้ไกลขนาดนั้น
-----------
ต้นแบบแนวความคิด ต้นแบบหลักการชีวิต
ที่เราได้ดูในครั้งแรกและนึกกับตัวเองมาตลอด
ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะเป็น
เราใช้คำว่าอยากจะเป็น เพราะเราไม่ได้เกิดมาเป็น
เราต้องขัดเกลาและเรียนรู้อีกมาก
ถึงจะพัฒนาตัวเองไปได้ไกลขนาดนั้น
-----------
ซึ่งเวลาผ่านมาก็หลายปีพอสมควรจากวันนั้น
วันนี้เราก็ปรบมือให้ตัวเองเบาๆ เราก้าวหน้า
ไม่มากก็น้อย
เราพยายามเดินตามทางที่เป็นไปได้ยาก
พื้นฐานทุกๆอย่างของเราแทบจะไม่ใช่อะไร
ที่จะสามารถไปจบที่นิสัยอย่างพ่อของพระเอกได้เลย
วันนี้เราก็ปรบมือให้ตัวเองเบาๆ เราก้าวหน้า
ไม่มากก็น้อย
เราพยายามเดินตามทางที่เป็นไปได้ยาก
พื้นฐานทุกๆอย่างของเราแทบจะไม่ใช่อะไร
ที่จะสามารถไปจบที่นิสัยอย่างพ่อของพระเอกได้เลย
ซึ่งด้วยพื้นฐานเหล่านั้น เราจึงต้องพยายามอย่างหนัก
ขัดเกลาอย่างมาก แต่หนทางชีวิตมันก็ไม่ง่ายเลย
เราออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง(ก็บ่อยเลยแหละ)
แต่เมื่อได้กลับมาฟังเพลงประกอบภาพยนต์
และได้กลับมาดูซ้ำไปซ้ำมา เหมือนมีแม่เหล็ก
มาดูดให้เรากลับไปในหนทาง และก้าวเดินอย่างหนักต่อไป
ขัดเกลาอย่างมาก แต่หนทางชีวิตมันก็ไม่ง่ายเลย
เราออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง(ก็บ่อยเลยแหละ)
แต่เมื่อได้กลับมาฟังเพลงประกอบภาพยนต์
และได้กลับมาดูซ้ำไปซ้ำมา เหมือนมีแม่เหล็ก
มาดูดให้เรากลับไปในหนทาง และก้าวเดินอย่างหนักต่อไป
ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ออกมา มันได้สร้างคลื่นลูกใหญ่
ที่มากระแทกชีวิตของเราอย่างจัง
จนชีวิตเราหันเหไปอีกทิศทางตลอดกาล
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอยากพัฒนา ขัดเกลาตัวเอง
เพื่อไปสร้างคลื่นสักลูกนึง ให้พลิกผันชีวิตใครสักคนนึง
ทำให้ชีวิตเค้าดียิ่งๆขึ้นไปตลอดกาล
-------------------
ที่มากระแทกชีวิตของเราอย่างจัง
จนชีวิตเราหันเหไปอีกทิศทางตลอดกาล
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอยากพัฒนา ขัดเกลาตัวเอง
เพื่อไปสร้างคลื่นสักลูกนึง ให้พลิกผันชีวิตใครสักคนนึง
ทำให้ชีวิตเค้าดียิ่งๆขึ้นไปตลอดกาล
-------------------
ฉากที่ดูแล้วร้องไห้จริงๆคือฉากที่พระเอก
กลับมาหาและเล่นปิงปองกับพ่อตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่เค้าจะสูญเสียพลังตรงนี้ไป
เป็นฉากที่เราสะดุ้งจนต้องหันมาถามตัวเอง
เราจะปล่อยให้ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
ทั้งๆที่เราไม่มีพลังแม้แต่จะย้อนกลับไปได้สักวินาทีเดียว
เวลากำลังเดิน และเรากำลังสูญเสียบางอย่างตลอดเวลา
กลับมาหาและเล่นปิงปองกับพ่อตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่เค้าจะสูญเสียพลังตรงนี้ไป
เป็นฉากที่เราสะดุ้งจนต้องหันมาถามตัวเอง
เราจะปล่อยให้ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
ทั้งๆที่เราไม่มีพลังแม้แต่จะย้อนกลับไปได้สักวินาทีเดียว
เวลากำลังเดิน และเรากำลังสูญเสียบางอย่างตลอดเวลา
บทพูดที่ดีที่หลายๆเพจและหลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้าง
แต่..ยังคงเป็นสิ่งที่ยากในการลงมือทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอนั่นคือ
แต่..ยังคงเป็นสิ่งที่ยากในการลงมือทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอนั่นคือ
"ผมพยายามใช้ชีวิตทุกวัน ราวกับผมได้ย้อนกลับมาแก้ไขมันแล้ว
เพื่อมีความสุขกับมัน ราวกับมันเป็นวันสุดท้ายที่สมบูรณ์"
เรามองว่าตรงนี้คือทัศนะที่ดีมากๆเป็นทั้งมุมมองของการไม่หนีปัญหา
ทั้งมุมมองของการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
และมุมมองต่อชีวิตที่มีความสุขสมบูรณ์
อันปราศจากความทุกข์ที่เกิดจากการมองโลกหรืออุปสรรคในแง่ร้าย
และสุดท้ายนี้ขอจบการบันทึกความสุขความทรงจำ
ไว้ด้วยประโยคที่สวยงามจากตัวภาพยนต์About Time
ไว้ด้วยประโยคที่สวยงามจากตัวภาพยนต์About Time
"เราต่างเดินทางผ่านกาลเวลา ทุกๆวันในชีวิตของเรา
มีสิ่งที่เราพอจะทำได้คือ ทำให้ดีที่สุด
เพื่อลิ้มรสชาติ เส้นทางชีวิตอันแสนพิเศษนี้"
หวังว่าบทความของเราหรือภาพยนต์เรื่องนี้
จะให้แง่คิดกับทุกคนเช่นกัน
ไม่มากก็น้อย
เมื่อคุณกล้าก้าวเดิน เราจะก้าวไปพร้อมกับคุณ
ปล. บันทึกความรู้สึกและความทรงจำของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด
“ Face the facts of being what you are, for that is what changes what you are. ” : Soren Kierkegaard
Goodluck,
Introvert man.
No comments:
Post a Comment