Monday, July 22, 2019

ภาพยนต์ที่ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนเส้นทางของชีวิตใหม่อีกครั้ง

(Photo : About time)



บทความนี้เขียนจากอารมณ์ขณะดูภาพยนต์จบเป็นรอบที่นับไม่ถ้วน
และผ่านเหตุการณ์ชีวิตต่างๆมากขึ้นนับจากครั้งแรกที่เคยได้ดู
แน่นอนว่าอีก20ปีจากนี้ ก็ต้องมีมุมมองที่เพิ่มเติมต่อไป

ภาพยนต์เรื่องนี้เป็น1ในไม่กี่เรื่องที่เราหยิบมาดูซ้ำ
ซ้ำหลายรอบมากๆ ทั้งตัวบท คนคัดนักแสดง
สีแต่ละฉาก เสื้อผ้า มุมกล้อง องค์ประกอบทุกอย่าง
และเหตุผลหลักๆเลยคือ...
"พ่อพระเอก"
ทั้งตัวนักแสดง บทพูด การยิ้ม การพูด การออกท่าออกทาง
ทุกๆอย่างที่เป็น มันลงตัวไปหมด

เราชอบ ชอบไม่พอต้องเรียกว่า เค้าคือต้นแบบชีวิต
ต้นแบบแนวความคิด ต้นแบบหลักการชีวิต
ที่เราได้ดูในครั้งแรกและนึกกับตัวเองมาตลอด
ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะเป็น
เราใช้คำว่าอยากจะเป็น เพราะเราไม่ได้เกิดมาเป็น
เราต้องขัดเกลาและเรียนรู้อีกมาก
ถึงจะพัฒนาตัวเองไปได้ไกลขนาดนั้น
-----------

ซึ่งเวลาผ่านมาก็หลายปีพอสมควรจากวันนั้น
วันนี้เราก็ปรบมือให้ตัวเองเบาๆ เราก้าวหน้า
ไม่มากก็น้อย
เราพยายามเดินตามทางที่เป็นไปได้ยาก
พื้นฐานทุกๆอย่างของเราแทบจะไม่ใช่อะไร
ที่จะสามารถไปจบที่นิสัยอย่างพ่อของพระเอกได้เลย

ซึ่งด้วยพื้นฐานเหล่านั้น เราจึงต้องพยายามอย่างหนัก
ขัดเกลาอย่างมาก แต่หนทางชีวิตมันก็ไม่ง่ายเลย
เราออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง(ก็บ่อยเลยแหละ)
แต่เมื่อได้กลับมาฟังเพลงประกอบภาพยนต์
และได้กลับมาดูซ้ำไปซ้ำมา เหมือนมีแม่เหล็ก
มาดูดให้เรากลับไปในหนทาง และก้าวเดินอย่างหนักต่อไป

ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ออกมา มันได้สร้างคลื่นลูกใหญ่
ที่มากระแทกชีวิตของเราอย่างจัง
จนชีวิตเราหันเหไปอีกทิศทางตลอดกาล
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอยากพัฒนา ขัดเกลาตัวเอง
เพื่อไปสร้างคลื่นสักลูกนึง ให้พลิกผันชีวิตใครสักคนนึง
ทำให้ชีวิตเค้าดียิ่งๆขึ้นไปตลอดกาล
-------------------

ฉากที่ดูแล้วร้องไห้จริงๆคือฉากที่พระเอก
กลับมาหาและเล่นปิงปองกับพ่อตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่เค้าจะสูญเสียพลังตรงนี้ไป
เป็นฉากที่เราสะดุ้งจนต้องหันมาถามตัวเอง
เราจะปล่อยให้ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
ทั้งๆที่เราไม่มีพลังแม้แต่จะย้อนกลับไปได้สักวินาทีเดียว
เวลากำลังเดิน และเรากำลังสูญเสียบางอย่างตลอดเวลา

บทพูดที่ดีที่หลายๆเพจและหลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้าง
แต่..ยังคงเป็นสิ่งที่ยากในการลงมือทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอนั่นคือ
"ผมพยายามใช้ชีวิตทุกวัน ราวกับผมได้ย้อนกลับมาแก้ไขมันแล้ว
เพื่อมีความสุขกับมัน ราวกับมันเป็นวันสุดท้ายที่สมบูรณ์"
เรามองว่าตรงนี้คือทัศนะที่ดีมากๆ
เป็นทั้งมุมมองของการไม่หนีปัญหา
ทั้งมุมมองของการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
และมุมมองต่อชีวิตที่มีความสุขสมบูรณ์
อันปราศจากความทุกข์ที่เกิดจากการมองโลกหรืออุปสรรคในแง่ร้าย

และสุดท้ายนี้ขอจบการบันทึกความสุขความทรงจำ
ไว้ด้วยประโยคที่สวยงามจากตัวภาพยนต์About Time
"เราต่างเดินทางผ่านกาลเวลา ทุกๆวันในชีวิตของเรา
มีสิ่งที่เราพอจะทำได้คือ ทำให้ดีที่สุด
เพื่อลิ้มรสชาติ เส้นทางชีวิตอันแสนพิเศษนี้"
หวังว่าบทความของเรา
หรือภาพยนต์เรื่องนี้
จะให้แง่คิดกับทุกคนเช่นกัน
ไม่มากก็น้อย
เมื่อคุณกล้าก้าวเดิน เราจะก้าวไปพร้อมกับคุณ
--------


ปล. บันทึกความรู้สึกและความทรงจำของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด


















“ Face the facts of being what you are, for that is what changes what you are. ” :  Soren Kierkegaard


Goodluck,
Introvert man.

No comments:

Post a Comment